วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ถ้าระบบโปร่งใส ตรวจสอบงบจัดซื้อจัดจ้างได้… เก้าอี้จะแพงไปไหม? ตึกจะถล่มได้หรือเปล่า?

ในบทความก่อนหน้า ฉันได้พูดถึงสิ่งที่พลเมืองธรรมดาคนหนึ่งต้องการจากรัฐ — ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยี

และในบทความนี้ ฉันอยากชวนให้เห็นว่า ที่อื่นนั้น เขาทำกันอย่างไร และทำไมมันถึง “ช่วยได้จริง”

อังกฤษใช้ AI ตรวจสอบงบจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร?

สำนักงานกำกับการแข่งขันของอังกฤษ (CMA) ได้ทดลองใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยตรวจสอบ “กระบวนการเสนอราคา” และ “ราคาวัสดุ” ที่หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อ

ระบบสามารถ เปรียบเทียบราคาที่บริษัทเสนอ กับราคาตลาดจริง ได้ทันที

หากมีการเสนอราคาสูงผิดปกติ เช่น เก้าอี้ตัวละ 10,000 บาท ในขณะที่ตลาดขาย 1,200 บาท — ระบบจะแจ้งเตือนทันที

ระบบยังสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของบริษัทที่เสนอราคา ว่ามีรูปแบบที่น่าสงสัยหรือไม่ เช่น สลับกันชนะ, ยิงราคาสูงทุกเจ้า ฯลฯ

“เทคโนโลยีนี้ไม่ได้มาแทนคน แต่ช่วย “ทำให้คนตรวจสอบได้เร็วกว่าเดิมมาก”


ถ้ามองกลับมาที่ไทย: จะช่วยได้แค่ไหน?

ประเทศไทยมีข่าว “ของจัดซื้อแพงผิดปกติ” แทบทุกปี เช่น:

เก้าอี้สำนักงานตัวละหลายหมื่นบาท (ทั้งที่หน้าตาธรรมดามาก)

คอมพิวเตอร์โรงเรียนแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่า

อาคาร สตง. หลังใหม่ที่ถล่มลงมา ในขณะก่อสร้าง ซึ่งงบสร้างระดับพันล้าน! — แต่กลับพบว่า อาจใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน

คำถามง่าย ๆ คือ…

ถ้ามีระบบอัตโนมัติที่ตรวจสอบราคา + ตรวจจับความเสี่ยงตั้งแต่ต้น จะเกิดเหตุแบบนี้ไหม?


ถ้าไทยมีระบบแบบอังกฤษ จะเป็นอย่างไร?



ประชาชนไทยต้องการแค่สิ่งง่าย ๆ:

ไม่ต้องเป็นระบบสุดล้ำไฮโซไฮซ้อ แค่…

ราคาสมเหตุสมผล

วัสดุได้คุณภาพ

ไม่มีใครแอบได้ประโยชน์จากภาษีคนอื่น

ถ้ามีปัญหา ต้องตรวจสอบได้จริง


หากเรามีระบบที่ตรวจสอบได้อัตโนมัติ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ซื้อของ — ไม่ใช่รอจนปัญหาเกิดแล้วค่อยตั้งกรรมการสอบ… เราจะไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบตึกถล่มที่ไม่มีใครรับผิดชอบ หรือของราคาเว่อร์ที่ไม่มีใคร เอ๊ะ!?


จากใจพลเมืองคนหนึ่งเลยนะ

ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT หรือก่อสร้าง

แต่ฉันเสียภาษีเหมือนทุกคน และฉันแค่อยากรู้ว่า

“เก้าอี้ตัวนี้แพงไปไหม?”

“ตึกนี้ใช้เหล็กแบบไหน?”


ถ้าคำถามง่าย ๆ แบบนี้ ยังไม่มีคำตอบ…

ถึงเวลาแล้วไหมที่ เทคโนโลยีต้องเข้ามาเป็นด่านหน้า เพื่อให้ความโปร่งใสและยุติธรรมเกิดขึ้นได้จริง


อ้างอิง:  CMA unveils AI-powered tool to combat bid rigging in public procurement (DLA Piper)


Read More อ่านต่อ 💼 >> ไปที่หน้ารวมบทความ


#เสียงของพลเมือง #ภาษีของเรา #โปร่งใสตรวจสอบได้  

#งบประมาณรัฐ #สิทธิของประชาชน #การศึกษาไทย  

#อาหารกลางวันเด็ก #ระบบราชการไทย #ตรวจสอบงบประมาณ  

#ภาษีคือเงินของเรา #ประชาชนอยากรู้ #เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส  

#รัฐต้องเปลี่ยน #การจัดซื้อจัดจ้าง 



วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

รับมือกับความเสี่ยงด้วย Risk Analysis

รับมือกับความเสี่ยงในงาน Commercial Operations ด้วย Risk Analysis



เราทำงานด้าน Commercial Operations ซึ่งเป็นงานที่ต้องประสานหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายขาย ฝ่ายการเงิน ลูกค้า และซัพพลายเออร์ เรียกได้ว่า “ความเสี่ยง” เป็นสิ่งที่เจอแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นดีลที่เปลี่ยนเงื่อนไขกะทันหัน เอกสารล่าช้า หรือระบบที่ไม่เสถียร


แต่เราก็มีตัวช่วยเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Risk Analysis เพื่อช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และอยากมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ลองนำไปใช้ดูค่ะ


🔍 Risk Analysis คืออะไร?

คือกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในงานของเรา โดยดูว่า:

  • อะไรคือความเสี่ยง?
  • มีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน?
  • ถ้าเกิดขึ้น จะกระทบกับงานแค่ไหน?
  • เราจะรับมือกับมันยังไง?





💡 สิ่งที่ได้เรียนรู้

การวิเคราะห์ความเสี่ยงช่วยให้เราทำงาน “เชิงรุก” มากกว่า “ตั้งรับ”

ทำให้เราสื่อสารกับทีมและผู้เกี่ยวข้องได้ชัดเจนขึ้น

ลดความเครียด เพราะเรามีแผนรับมือไว้แล้ว


สำหรับใครที่ทำงานในสาย Commercial หรือประสานงานหลายฝ่ายแบบนี้ ลองเริ่มจากการลิสต์ความเสี่ยงที่เจอบ่อย ๆ แล้วประเมินดูว่าเราจะจัดการกับมันยังไงได้บ้างนะคะ 😊

บางครั้งแค่เรามองเห็นความเสี่ยงก่อน ก็ช่วยให้เราทำงานได้มั่นใจขึ้นมากเลยค่ะ 

Read More อ่านต่อ 👤 >>  “หัวหน้างานแบบไหน...ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง?”

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สิ่งที่พลเมืองผู้เสียภาษีอย่างฉันต้องการจากรัฐบาล: ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเทคโนโลยีที่ใช้จริง


ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่เสียภาษีอย่างถูกต้องทุกปี ฉันไม่เคยคาดหวังให้รัฐดูแลทุกเรื่องแทน แต่ฉันมีความหวังว่า “เงินที่ฉันจ่ายเข้าไปในระบบ” จะถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง ด้วยหลักที่เรียบง่ายที่สุด …ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีความสมเหตุสมผล


โปร่งใส ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องเป็นระบบ

ความโปร่งใสไม่ควรเป็นแค่แนวคิดบนกระดาษ แต่ต้องเกิดขึ้นจริง ผ่านระบบที่ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบได้

ในยุคเทคโนโลยีแบบนี้ การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณ ควรเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ข้อยกเว้น

– งบจัดซื้ออาหารกลางวัน!

– งบวัสดุอุปกรณ์ในโรงเรียน!

– งบก่อสร้างของหน่วยงานท้องถิ่น!


ข้อมูลเหล่านี้ควรแสดงให้เห็นแบบเรียลไทม์ผ่านระบบออนไลน์ หรือ dashboard ที่พลเมืองทั่วไปเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช่เอกสาร PDF หลายร้อยหน้าอ่านยาก

เพราะภาษีที่รัฐใช้…ก็คือ “เงินของทุกคน”


ความสมเหตุสมผลของงบประมาณ: ตัวอย่างจากอาหารกลางวันเด็ก

หนึ่งในตัวอย่างที่ฉันสะเทือนใจเสมอ คือ งบอาหารกลางวันสำหรับเด็กในโรงเรียน ซึ่งในหลายพื้นที่อยู่ที่ 20–25 บาท/คน/วัน

ในความเป็นจริงของค่าครองชีพปัจจุบัน เราทุกคนรู้ดีว่าเงินจำนวนนี้อาจยังไม่พอสำหรับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ

แต่เมื่อเจาะลึกลงไป เราพบว่าปัญหาไม่ใช่แค่งบน้อย — แต่ยังมี ความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และ “ระบบที่ไม่ยืดหยุ่นหรือไม่ตอบสนองกับความจริง”


ระบบที่ดี เริ่มต้นจากคนและกระบวนการที่ดี

สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยกว่าความไม่โปร่งใส คือ ความไร้ประสิทธิภาพของคนในระบบ — ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกคนเข้าทำงาน ไปจนถึงกลไกที่ขาดความรับผิดชอบ

บางครั้งคนในระบบดูเหมือนทำหน้าที่เป็นเพียง “กลไกเชิงเอกสาร” มากกว่าจะเป็นผู้มีใจรับใช้สาธารณะ

และเมื่อไม่มีความสามารถตรวจสอบถ่วงดุลกันได้อย่างแท้จริง สิ่งที่ควรเป็น “ระบบเพื่อคนส่วนใหญ่” ก็กลายเป็น “ระบบที่หลุดหายจากเป้าหมาย”


เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือความหวังใหม่

ฉันเชื่อว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเป็นตัวเปลี่ยนเกม ได้จริง

ระบบติดตามงบประมาณแบบเปิด (Open Budget)

ระบบจัดซื้อจัดจ้างอัจฉริยะ

AI ตรวจสอบความผิดปกติของโครงการ

หากรัฐให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ “เพื่อประชาชน” แทนที่จะเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนระบบเดิม… เราจะเห็นคุณภาพการใช้งบประมาณดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม


ไม่ว่าจะรัฐบาลใด ความคาดหวังไม่เคยเปลี่ยน

สุดท้ายแล้ว ฉันไม่ต้องการเลือกข้างฝ่ายใด เพราะรัฐบาลจะเป็นสีอะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า…

“เรามีระบบที่ทำให้คนดีอยู่ได้ คนไม่ดีถูกเปิดเผย และประชาชนตรวจสอบได้หรือไม่”

และหากยังไม่ถึงจุดนั้น สิ่งที่ฉันจะทำได้ คือ ตั้งคำถาม พูดความจริงอย่างสุภาพ และเรียกร้องให้ระบบที่เราอยู่ร่วมกันนั้น เป็นธรรม โปร่งใส และมีคุณภาพเพียงพอ… สำหรับคนรุ่นต่อไป


บทความนี้เป็นหนึ่งในเสียงสะท้อนของคนธรรมดาคนหนึ่ง

ที่ใช้ชีวิตในประเทศนี้ เสียภาษีอย่างถูกต้อง ถูกจ้างงาน และสุดท้าย…ถูกเลิกจ้าง😓

แต่แม้ในวันที่ไม่มีรายได้ประจำ ฉันยังคงอยากเห็นระบบที่ใช้เงินภาษีของพวกเราทุกคน

อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกชีวิตในสังคมเดียวกันนี้🙏


Read More อ่านต่อ 👤 >>  “หัวหน้างานแบบไหน...ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง?”

Read More อ่านต่อ 💪 >> ถูกเลิกจ้าง...ไม่ใช่จุดจบ

Read More อ่านต่อ 💼 >> ไปที่หน้ารวมบทความ


#เสียงของพลเมือง #ภาษีของเรา #โปร่งใสตรวจสอบได้  

#งบประมาณรัฐ #สิทธิของประชาชน #การศึกษาไทย  

#อาหารกลางวันเด็ก #ระบบราชการไทย #ตรวจสอบงบประมาณ  

#ภาษีคือเงินของเรา #ประชาชนอยากรู้ #เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส  

#รัฐต้องเปลี่ยน #การจัดซื้อจัดจ้าง #ชีวิตหลังถูกเลิกจ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความเป๊ะกับความปั่น...นวัตกรรมเกิดจากอะไร? | Balancing Order and Chaos in Innovation

 ⚖️ “ระหว่างความเป๊ะกับความปั่น...นวัตกรรมเกิดจากอะไร?”

ช่วงนี้ฉันกำลังอินกับการเรียนรู้เรื่องนวัตกรรม (น่าจะเพราะได้ฟังหัวข้อใหม่จาก LinkedIn Learning อีกแล้ว!) หัวข้อที่ทำให้สะกิดใจคือ: “Balancing Order and Chaos in Innovation” หรือในภาษาแบบตัวอิฉันเองก็คือ… จะทำให้นวัตกรรมเกิดได้ยังไง ถ้าทุกอย่างต้องเป๊ะ? แล้วถ้ามันวุ่นวายเกินไปล่ะ จะยังควบคุมไหวไหม?


🎯 ความเป๊ะจำเป็น

จริงอยู่ค่ะ ว่าความเป็นระบบ (order) คือหัวใจของการบริหารงานให้ราบรื่น ไม่งั้นจะปิดงบก็ปวดหัว จะส่งของก็ผิดวัน จะประสานงานก็สะเปะสะปะ ใครที่ทำงานสาย operation หรือ customer service คงพยักหน้าแรง ๆ เหมือนฉัน

แต่นั่นแหละ... ถ้ามีแต่ความเป๊ะ แต่งานทุกวันคือ “ก็ทำแบบนี้มาตลอด” นวัตกรรมจะเกิดยังไงกัน?


🌀 ความปั่นก็สำคัญ

ในอีกด้านหนึ่ง ความ “วุ่นวายอย่างสร้างสรรค์” (chaos) — คือพื้นที่ที่ไอเดียใหม่ ๆ ได้หายใจ เวลาที่เราลองผิดลองถูก เล่นกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ หรือคิดโมเดลธุรกิจแบบนอกกรอบ สิ่งพวกนี้มักจะไม่ได้เกิดบนโต๊ะประชุมที่มีวาระแน่นเป๊ะหรอกค่ะ แต่มักจะเกิดในมุมเล็ก ๆ ที่มีใครสักคน “กล้าลอง” โดยไม่กลัวว่าจะพัง


🧩 แล้วองค์กรจะจัดการความเป๊ะกับความปั่นยังไง?

จากบทเรียนที่เรียนมา เขาเสนอแนวทางที่น่าสนใจมากค่ะ:

ใช้สิ่งที่มั่นคงเป็นฐาน เช่น เว็บไซต์หลักของ Amazon แทบไม่เปลี่ยนโครงเลย เพราะลูกค้าคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ข้างในระบบนั้น มีการเปลี่ยนราคาทุกนาที ปรับคำแนะนำให้ตรงใจลูกค้าแบบ real-time — นี่แหละ chaos บน order

ให้พื้นที่ทดลองแบบปลอดภัย (sandbox) องค์กรบางแห่งกำหนดเลยว่า 10% ของเวลาทำงาน ให้พนักงานลองโปรเจกต์ใหม่ได้ แบบนี้จะได้ไม่กระทบงานหลัก แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ไอเดียเบ่งบาน

แยกหน่วยงานทดลองออกจากธุรกิจหลัก ถ้าไอเดียใหม่มันแรงมากจนแหกกฎเดิมหมด เช่น การเปลี่ยนจากขายกล้องถ่ายรูป → มาทำแอปถ่ายรูป หลายองค์กรเลือกตั้ง “ทีมพิเศษ” หรือบริษัทลูกขึ้นมาเลย เพื่อให้คิดแบบไร้กรอบ โดยไม่ไปรบกวนความมั่นคงของธุรกิจหลัก


🧠 สรุปนะฮะ

นวัตกรรมที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจาก "ความปั่น" อย่างเดียว และแน่นอน…ไม่เคยเกิดจาก "ความเป๊ะ" อย่างเดียวเช่นกัน

แต่มันเกิดจาก “ความกล้าปล่อยให้บางอย่างวุ่นวาย...ในขณะที่ยังควบคุมภาพรวมไว้ได้”

บางที...ถ้าเรารู้ว่าเราจะล้มได้ใน sandbox เล็ก ๆ เราก็กล้าก้าวเท้ามากขึ้น และบางที…หัวหน้าที่ดี อาจไม่ใช่คนที่คุมทุกอย่างเป๊ะ แต่เป็นคนที่กล้าบอกเราว่า "ไม่เป็นไร ลองดูได้"


ใครที่กำลังอยู่ในองค์กรที่อยากสร้างสรรค์ หรือกำลังอยู่ในจุดที่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ขอส่งพลังใจให้ค่ะ — ให้เรากล้าพอที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์ เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ “ดีกว่าเดิม”


Read More อ่านต่อ 👤 >>  “หัวหน้างานแบบไหน...ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง?”

Read More อ่านต่อ 😓 >> ถูกเลิกจ้าง...ไม่ใช่จุดจบ



📝 #นวัตกรรมในองค์กร #หัวหน้าที่ดี #วัฒนธรรมองค์กร #บทบาทของผู้นำ #เรียนรู้จากLinkedIn #บทความองค์กร

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ถูกเลิกจ้างไม่ใช่จุดจบ! นี่คือโอกาสทองที่คุณจะได้ "ลงทุนกับตัวเอง" และสร้างชีวิตใหม่

เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง... บทใหม่ของชีวิตคุณอาจกำลังเริ่มต้น

ในโมงยามที่ข่าวการ "เลิกจ้าง" หรือ "ตกงาน" มาเคาะประตู หลายคนอาจรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา ความรู้สึกผิดหวัง สับสน และความกังวลถาโถมเข้ามาเป็นเรื่องปกติ แต่เชื่อเถอะว่านี่ไม่ใช่จุดจบของทุกสิ่ง บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี่แหละคือโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้คุณได้ ค้นพบและลงทุนกับตัวเองในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือจุดเปลี่ยน

การถูกเลิกจ้างไม่ได้แปลว่าคุณไร้ความสามารถ หรือล้มเหลวในชีวิตการทำงานเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มันอาจเป็นสัญญาณว่าจักรวาลกำลังบอกให้คุณพักหายใจ ตั้งหลัก และมองหาเส้นทางที่ใช่สำหรับคุณจริง ๆ หลายคนใช้เวลาตลอดชีวิตการทำงานไปกับการทุ่มเทให้กับองค์กร จนลืมไปว่าตัวเองมีอะไรที่อยากทำ มีความฝันแบบไหน หรือมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากแค่ไหน

ลองมองวิกฤตนี้ให้เป็น "เวลาทอง" ที่คุณได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการอย่างเต็มที่ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมองอย่างไร แต่จงใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด

ค้นหาตัวเอง: เข็มทิศนำทางสู่ความสุขที่แท้จริง

เมื่อมีเวลามากขึ้น ลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง:

  - อะไรคือสิ่งที่คุณหลงใหลอย่างแท้จริง? สิ่งที่คุณทำแล้วรู้สึกสนุก ไม่เบื่อ ไม่ต้องมีใครบังคับก็อยากทำ

  - อะไรคือทักษะที่คุณมีแต่ไม่เคยได้ใช้? อาจเป็นความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ งานอดิเรกที่คุณเก่ง หรือแม้แต่พรสวรรค์ที่คุณลืมไปแล้ว

  - ชีวิตแบบไหนที่คุณอยากมี? การทำงาน 8-5 โมงเช้าอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน คุณอาจเป็นคนชอบอิสระ อยากเดินทาง หรืออยากเป็นนายตัวเอง

การค้นหาตัวเองไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ แต่คือการสำรวจภายใน การเรียนรู้ที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเอง และทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คุณมีความสุขและเติมเต็มชีวิตได้อย่างแท้จริง

พัฒนาทักษะ: การลงทุนที่งอกเงยไม่มีวันหมด

เมื่อคุณเริ่มเห็นเค้าลางของเส้นทางใหม่ หรือค้นพบสิ่งที่คุณอยากทำ ก็ถึงเวลาของการ "พัฒนาทักษะ" นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะความรู้และทักษะที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ติดตัวคุณไปตลอดชีวิต และไม่มีใครสามารถพรากมันไปจากคุณได้:

  - เรียนรู้สิ่งใหม่: ลงคอร์สออนไลน์ที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการตลาดดิจิทัล การเขียนโปรแกรม การออกแบบ หรือแม้แต่การทำอาหาร

  - ลับคมทักษะเดิม: คุณอาจมีทักษะที่มีอยู่แล้ว แต่อยู่ในระดับที่ต้องฝึกฝนเพิ่มเติมให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น

  - สร้างพอร์ตโฟลิโอ: หากคุณสนใจงานสายครีเอทีฟหรือฟรีแลนซ์ การสร้างผลงานเพื่อโชว์ศักยภาพจะช่วยเปิดโอกาสให้คุณได้

  - สร้างคอนเนกชัน: ใช้โอกาสนี้เชื่อมต่อกับผู้คนในสายงานที่คุณสนใจ การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จะช่วยขยายมุมมองของคุณได้

การพัฒนาทักษะไม่ใช่แค่การเพิ่มโอกาสในการได้งานใหม่เท่านั้น แต่มันคือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่อาจไม่เคยคาดคิด และเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพที่หลากหลายกว่าที่เคย

โอกาสในการสร้างรายได้รูปแบบใหม่

หนึ่งในข้อจำกัดของการเป็นพนักงานบริษัทคือรูปแบบรายได้ที่ค่อนข้างตายตัว แต่เมื่อคุณออกมาจากกรอบนั้น โลกแห่งโอกาสก็จะเปิดกว้าง:

  - งานฟรีแลนซ์: ใช้ทักษะที่คุณมีเสนอบริการให้กับลูกค้าต่าง ๆ

  - ธุรกิจขนาดเล็ก: เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรักและพัฒนาให้เป็นธุรกิจ

  - สร้างสรรค์คอนเทนต์: แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของคุณผ่านช่องทางออนไลน์

  - การลงทุน: หากมีเงินเก็บ การศึกษาเรื่องการลงทุนก็เป็นอีกทางเลือกในการสร้างรายได้แบบ Passive Income

ก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังบวก

การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และบางครั้งการถูก "บังคับให้เปลี่ยน" ก็อาจนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้ การตกงานไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นบทใหม่ บทที่คุณได้เขียนเอง กำหนดเอง และสร้างสรรค์เอง

จงใช้ช่วงเวลานี้ในการดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เต็มที่ ค้นหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน และมองโลกด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยโอกาส ไม่ว่าปลายทางของบทนี้จะนำคุณไปสู่การเป็นพนักงานบริษัทที่แข็งแกร่งกว่าเดิม การเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ หรือเส้นทางใด ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม ขอให้คุณมั่นใจว่าทุกก้าวที่คุณเดินไปข้างหน้าคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของคุณเอง


สิ่งสำคัญที่ควรจำ

  • วินัยในการจัดการเวลา: แม้จะไม่มีเจ้านายมาคอยกำหนด แต่การมีวินัยในการจัดสรรเวลาแต่ละวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะช่วยให้เป้าหมายที่คุณวางไว้สำเร็จได้จริง
  • การจัดการการเงิน: ในระหว่างที่สำรวจช่องทางใหม่ ๆ การบริหารจัดการเงินเก็บอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณอุ่นใจและมีสภาพคล่องในทุกช่วงจังหวะชีวิต
  • ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป: การพักงานคือการค้นหาและทดลอง บางครั้งผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังทั้งหมด แต่อย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์นั้น ๆ 

ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการค้นหาตัวเองและสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ที่เหมาะกับคุณ


💡จงจำไว้ว่า! 
คุณกำลัง “กล้า” ทำสิ่งที่หลายคนไม่กล้าทำ คือให้โอกาสตัวเองลองอีกเส้นทาง
ไฟของคุณยังไม่หมด มันแค่ต้องถูกใช้ “อย่างมีทิศทาง” เพื่อไม่ให้ลุกไหม้คุณจากข้างใน




📝 #นวัตกรรมในองค์กร #หัวหน้าที่ดี #วัฒนธรรมองค์กร #บทบาทของผู้นำ #เรียนรู้จากLinkedIn #บทความองค์กร


วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

🌱 “หัวหน้างานแบบไหน...ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง?”

 คำว่า “นวัตกรรม” ไม่ได้เกิดจากไอเดียล้ำยุคเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ใคร” กล้าเปิดพื้นที่ให้มันเกิดขึ้นในทีมของเรา



ในช่วงที่ผ่านมา คำว่านวัตกรรมกลายเป็นคำฮิตในหลายองค์กร—รวมถึงที่ฉันทำงานอยู่ด้วย
ทั้งในการประชุม บอร์ดแผนงาน หรือแม้แต่ตอนพักเบรกก็ยังได้ยินเรื่องนี้วนเวียนเสมอ

แต่คำถามหนึ่งที่ทำให้ฉันหยุดคิดคือ…

“แล้วหัวหน้าแบบไหนล่ะ ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง?”


หลังจากเข้าเรียนหลักสูตรหนึ่งบน LinkedIn ชื่อว่า

“The Role of Leaders in Driving Innovation”

ฉันเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าผู้นำในทีมไม่ใช่แค่คนที่ตัดสินใจ แต่คือผู้สร้าง “บรรยากาศ” ที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง

📌 สรุป 5 บทบาทของหัวหน้าที่ช่วยให้นวัตกรรมเกิดขึ้นจริง


1. 🎯 ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

นวัตกรรมต้องเริ่มจากปลายทางที่ชัด

ไม่ใช่แค่วิสัยทัศน์สวยหรูบนสไลด์ แต่คือภาพของอนาคตที่ทีมทุกคนเข้าใจร่วมกัน ว่าเรากำลังมุ่งไปไหน และจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม

2. 📚 เข้าใจเนื้องานในเชิงลึก

ผู้นำที่ดีไม่กลัวจะ “เปื้อนมือ”

นวัตกรรมบางอย่างไม่ได้มีตัวเลขรองรับในทันที ผู้นำที่เคยลุยหน้างานมาก่อน มักฟังเสียงจากทีมได้ลึกกว่า และรู้ว่าจุดไหนควรให้ลอง จุดไหนควรหยุด

3. ⚖️ กล้าเสี่ยง แต่ไม่ใช่ลุยแหลก

เสี่ยงอย่างมีระบบ คือหัวใจของการทดลอง

ไม่ใช่การเสี่ยงแบบไม่มีแผน แต่คือการมองรอบด้าน มี Plan B และกล้ายืดหยุ่นปรับตามสถานการณ์โดยไม่เสียหลัก

4. 🕹️ เปิดพื้นที่ให้ทีมคิดเองบ้าง

นวัตกรรมไม่เกิดจากคำสั่ง แต่มาจาก “โอกาส”

หัวหน้าที่ไม่ micromanage แต่ให้กรอบที่ชัด แล้วปล่อยให้ทีมได้คิด ลอง ล้ม และเรียนรู้ด้วยตัวเอง มักได้ผลลัพธ์เกินคาด

5. 🪞 เป็นแบบอย่างที่ดี

หัวหน้าที่กล้ายอมรับความล้มเหลว จะช่วยให้ทีมกล้าลองมากขึ้น

เพราะความล้มเหลวในทีมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรับมือร่วมกัน หัวหน้าที่เปิดใจ ทำให้ทีมรู้สึก “ปลอดภัย” ที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ


💭 แล้วพวกเราล่ะ… จะมีส่วนร่วมกับนวัตกรรมในองค์กรได้อย่างไร?


เขียนบทความนี้ขึ้นมา ไม่ได้จะบ่นใคร 😅
แต่เป็นเหมือนการชวนคิดว่า…
ถ้าวันหนึ่งเราได้เป็นหัวหน้า เราอยากเป็นแบบไหน?
และในวันนี้ ที่เรายังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีม เราจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

บางครั้ง นวัตกรรมอาจเริ่มจาก “พนักงานธรรมดาคนหนึ่ง”
ที่ตั้งคำถาม กล้าคิด และมีหัวหน้าที่ “เปิดทาง”

องค์กรที่ดีไม่ใช่แค่มีเป้าหมายร่วมกัน…
แต่ต้องมีวัฒนธรรมที่ทำให้ “ทุกคนกล้าร่วมสร้างอนาคต” 🌿




📝 #นวัตกรรมในองค์กร #หัวหน้าที่ดี #วัฒนธรรมองค์กร #บทบาทของผู้นำ #เรียนรู้จากLinkedIn #บทความองค์กร

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

จาก Bard สู่ Gemini: จุดเปลี่ยนแห่งยุคใหม่ของ AI จาก Google



เมื่อโลกเทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนา AI ก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับ Google ที่ในปี 2023 ได้เปิดตัว AI แชตบอตภายใต้ชื่อ “Bard” ซึ่งใช้โมเดลภาษาขั้นสูงจากตระกูล LaMDA (Language Model for Dialogue Applications) Bard ถูกออกแบบมาเพื่อสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ข้อมูล และช่วยผู้ใช้คิดวิเคราะห์ผ่านการพูดคุย

แต่เพียงไม่นาน Google ก็เดินหน้าต่อไปอย่างทะเยอทะยาน ด้วยการพัฒนาโมเดล AI รุ่นใหม่ที่ทรงพลังและหลากหลายมากขึ้นในชื่อ “Gemini” ซึ่งเป็นโมเดลที่ Google DeepMind ร่วมพัฒนาขึ้น โดยออกแบบให้สามารถรับข้อมูลได้หลายรูปแบบพร้อมกัน (Multimodal) ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง หรือแม้แต่วิดีโอ

เหตุผลที่ Bard เปลี่ยนชื่อเป็น Gemini


ในต้นปี 2024 Google ได้ตัดสินใจรีแบรนด์ Bard ให้กลายเป็น Gemini อย่างเป็นทางการ เพื่อสื่อสารให้ชัดเจนว่า AI แชตบอตที่ผู้ใช้งานกำลังพูดคุยด้วยนั้น ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Gemini ที่ล้ำสมัยกว่ารุ่นเดิม ไม่ใช่แค่เครื่องมือแชตแบบเก่าอีกต่อไป แต่คือระบบ AI ที่ผสานความสามารถรอบด้านเพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะอย่างแท้จริง

การเปลี่ยนชื่อนี้ยังช่วยให้แบรนด์สื่อถึงอนาคตของ AI ที่หลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ เข้ากับการประมวลผลขั้นสูง ทั้งยังสะท้อนแนวคิด “Gemini” ที่แปลว่า “คู่แฝด” ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเข้าใจทั้งภาษามนุษย์และข้อมูลหลายมิติพร้อมกัน


จากจุดเริ่มต้นสู่การเติบโต


ปี 2021: Google เปิดตัวโมเดล LaMDA

ปี 2023: Bard เปิดตัวเพื่อแข่งขันกับ ChatGPT

ปลายปี 2023: Google เปิดตัวโมเดล Gemini 1

กุมภาพันธ์ 2024: Bard เปลี่ยนชื่อเป็น Gemini อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัวแอป Gemini บน Android และ iOS


การเปลี่ยนชื่อจาก Bard เป็น Gemini จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการตลาด แต่เป็นการปรับภาพลักษณ์เพื่อสะท้อนความสามารถที่เติบโตขึ้นของ AI จาก Google ทั้งในด้านเทคโนโลยี และความตั้งใจที่จะเป็นผู้ช่วยที่ครบเครื่องมากขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานทั่วโลก




All time Popular Post